การเลือกพลอยเพื่อนำไปทำเครื่องประดับนั้น เราควรรู้รูปแบบการฝังพลอยให้เหมาะสมกับเครื่องประดับในแต่ละชนิด ว่าควรฝังรูปแบบไหนมีความคงทน สวยงามและที่สำคัญเหมาะหรือเข้ากับสไตล์เรามากที่สุด ซึ่งปัจจุบันก็มีรูปแบบการฝังอยู่มากมายหลายแบบ ซึ่งส่งผลทำให้มีความสวยงามของรูปแบบอัญมณีที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น เครื่องประดับแหวน ซึ่งการฝังพลอยในรูปแบบต่างๆ นั้น จะส่งผลในเรื่อง สี ความประกายของพลอย ความสมดุล รวมถึงความคงทน แข็งแรง เมื่ออยู่บนเครื่องประดับแล้ว เพื่อให้ได้เครื่องประดับของเราออกมาสวยที่สุด
1. การฝังพลอยแบบ Prong Setting หรือเรียกว่า การฝังแบบหนามเตย วิธีการฝังแบบนี้ เป็นการฝังแบบชูพลอย ซึ่งอาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยช่างจะทำการเซาะร่องที่หนามเตยเพื่อสอดพลอยเข้าไป ขาที่ใช้เกาะพลอยเรียกว่า หนามเตย จะมีหลายแบบ 3, 4, หรือ 6 ขา ซึ่งการฝังแบบนี้นิยมทำกัน ใน แหวนหมั้น แหวนแต่งงาน นับได้ว่าเป็นวิธีการฝังที่ดีที่สุด เพราะการฝังแบบหนามเตยนี้ เหมาะสำหรับพลอยเม็ดใหญ่ๆ แนะนำให้ฝังแบบ 6 หนาม เพราะสามารถยึดพลอยได้แน่นหนาและแข็งแรงกว่า การเลือกฝังวิธีการนี้ควรใช้พลอยสีเข้ม เพราะการฝังแบบหนามเตยนี้ จะทำให้แสงลอดผ่านพลอยรอบด้าน หากใช้พลอยสีอ่อน แสงที่ลอดผ่านพลอย อาจทำให้พลอยสียิ่งอ่อนลงไปอีก
2. การฝังพลอยแบบ V Prong Setting วิธีการนี้ก็เป็นการฝังแบบหนามเตยเช่นกัน แต่แตกต่างกันที่จะใช้สำหรับอัญมณีที่มีมุม เช่น สี่เหลี่ยม มาร์คีส์ หัวใจ ซึ่งจะเป็นการปกป้องส่วนที่เปราะบางที่สุด(ส่วนมุมของพลอย) ไม่ให้แตกหรือบิ่นได้ง่ายๆ
3. การฝังพลอยแบบ Bezel Setting หรือ การฝังหุ้ม วิธีการนี้ เป็นการใช้ขอบโลหะหุ้มขอบรอบพลอย การฝังหุ้มแบบนี้จะมีข้อดีคือ ขอบโลหะจะเป็นตัวช่วยปกป้องตัวพลอยไม่ให้ไปกระทบกระแทกวัตถุอื่นๆ ในขณะสวมใส่ และทำให้พลอยดูใหญ่ขึ้นในระยะไกล เช่น ฝังพลอยขนาด 80 สตางค์ อาจจะดูใหญ่ขึ้นเป็น 1 กะรัต ได้เช่นกัน การฝังแบบยึดขอบพลอยทั้งหมด เป็นการฝังหุ้มพลอยที่แข็งแรงที่สุด ในวิธีการฝังทั้งหมด มีข้อดีแต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน ทำให้พลอยส่องประกายได้ไม่เต็มที่ ภาษาพลอยเรียกว่า ไฟไม่พุ่ง การเลือกฝังแบบนี้ แนะนำควรใช้พลอยที่มีสีไม่เข้มมาก พอฝังออกมาจะได้สีพลอยที่ประกายสว่างพอดี
4. การฝังพลอยแบบ Pave Setting การฝังจิก หรือ การฝังจิกไข่ปลา เป็นการฝังพลอยอีกแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยม เพราะการฝังแบบนี้ จะทำให้พลอยเม็ดเล็กแวววาวและดูใหญ่ขึ้น การฝังแบบนี้ ช่างจะทำการคว้านโลหะลงไปเพื่อจิกเป็นหนามเตยขนาดเล็กๆ ในการฝังพลอย
5. การฝังพลอยแบบ Channel Setting หรือ การฝังแบบสอด การฝังสอด ใช้สำหรับการฝังพลอยเป็นแถว โดยตัวเรือนจะมีลักษณะเป็นช่องว่างๆ ให้สอดพลอยเข้าไปทีละเม็ด โดยใช้ขอบโลหะเป็นตัวล็อคพลอยเอาไว้ ลักษณะการฝังสอด มีข้อเสีย คือจะทำให้พลอยดูเม็ดเล็กลงกว่าเม็ดจริงเล็กน้อย เนื่องจากขอบ 2 ด้านถูกขอบของโลหะบัง และไม่สามารถตัดหรือขยายขนาดแหวนได้เยอะ มากสุดแค่ 1-2 เบอร์ เพราะทำให้กระทบกับตัวพลอยที่ฝังเป็นแถวและอาจทำให้พลอยหลุดออกมาได้ การฝังพลอยแบบนี้ได้รับความนิยมมากเช่นกัน
6. การฝังพลอยแบบ Tension Setting หรือ การฝังแบบหนีบ เป็นการฝังโดยใช้โลหะทั้งสองฝั่งในการยึดเกาะพลอยเอาไว้ นิยมใช้กับแหวนที่ตัวเรือนมีความแข็งแรงมาก เพราะสามารถยึดเกาะพลอยได้ดี แหวนลักษณะแบบนี้ไม่เหมาะกับการใช้งานแบบ สมบุกสมบัน แต่แหวนที่ใช้การฝังแบบนี้จะมีลักษณะเรียบง่าย แต่ดูดีมีสไตส์ สามารถโชว์ความสวยงามของพลอยได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าใครชอบแหวนลักษณะการฝังแบบนี้ก็ควรจะใส่ด้วยความระมัดระวังมาก ๆ ด้วยนะคับ เพราะพื้นที่ในการยึดเกาะพลอยมีน้อย หากมีการใช้งานแบบ สมบุกสมบัน มีโอกาสทำให้พลอยหลุดออกมาได้เช่นกัน
7. การฝังพลอยแบบ Flush setting หรือ การฝังแบบเหยียบหน้า เป็นการฝังพลอยจมลงไปในเนื้อโลหะ หน้าพลอยจะเสมอกับตัวเรือน วิธีการฝังแบบนี้เหมาะกับการฝังพลอยขนาดเล็กลงบนแหวนเกลี้ยง แหวนปลอกมีด หรือแหวนคู่ ซะมากกว่า เพราะช่วยทำให้เครื่องประดับดูสะอาดตามากกกว่าการใช้หนามเตยหรือการจิกไข่ปลา
สุดท้าย! ไม่ว่าทุกท่านจะชอบสไตล์การฝังพลอยแบบไหนก็ตาม ซึ่งแต่ละคนก็จะมีสไตล์ที่ชอบแตกต่างกันออกไป สำคัญให้คำนึงถึงการใช้งานเครื่องประดับอย่างทะนุถนอม ไม่ควรใช้งานแบบ สมบุกสมบัน เพราะมีโอกาสที่จะทำให้พลอยหลุดออกมาเสียหายได้เช่นกัน...คับ
อย่าลืมติดตาม รู้จริงเรื่องอัญมณี กับผมได้ใหม่ในบทความต่อไปนะคับ...
อ่านบทความก่อนหน้า...
รู้จักผู้ริเริ่มเผาพลอยเป็นคนแรก