ปัจจุบันพลอยในตลาดอัญมณีส่วนใหญ่เกิน 80% เป็นพลอยที่มีการปรับปรุงคุณภาพ โดยการเผา พลอยดิบหรือพลอยธรรมชาติจริงๆ นั้นเหลือน้อยเต็มที บางคนอาจจะคิดสงสัยว่า ผู้ใดเป็นผู้ริเริ่ม ค้นพบวิชา เผาพลอย ได้เป็นคนแรกและได้สืบทอดวิชา เผาพลอย กันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นคุณของวงการอัญมณีไทย ที่มีผู้ริเริ่ม ค้นพบ วิชาการเผาพลอยเป็นคนแรก ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองจันทบุรี ซึ่งเป็นวิชาที่มิได้ลอกเลียนตำราใด ๆ จากผู้ใดมาเลย นับได้ว่าเป็นวิชาอันล้ำค่าจริง ๆ ทำให้วงการค้าอัญมณีได้มีวิชาอันล้ำค่า เพื่อมาพัฒนาวงการอัญมณี ให้มีคุณค่า และคงความสวยงาม ประดับโลกนี้ สืบต่อกันไป ตลอดกาล
รู้จักผู้ริเริ่มเผาพลอยเป็นคนแรก
บุคคลที่คนในวงการเผาพลอยควรจะสรรเสริญ และมิอาจลืมได้คือ คุณสามเมือง แก้วแหวน ปัจจุบันนี้อายุ 72 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจันทบุรีโดยแท้ เป็นศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตาม ธ.ก. รุ่น 4 ประมาณปี 2517 เริ่มต้นทำพลอยปะขาย การปะพลอยขายของ คุณสามเมือง แก้วแหวน ใช้ความร้อนช่วย ซึ่งติดแน่นมาตรฐานมากไม่หลุด จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเผาพลอยได้สำเร็จ พลอยปะคือ หน้าพลอยเป็นพลอยแท้ ส่วนก้นพลอยเป็นพลอยเทียม ในสมัยนั้นมีปะพลอยน้ำ (พลอยเหลี่ยม) กับ พลอยสตาร์ เวลาขายก็บอกว่าเป็นพลอยปะมิได้โกหกผู้ใดแต่อย่างใด คุณสามเมือง มีความจริงใจต่อลูกค้าเสมอ เมื่อปะพลอยไปเรื่อย ๆ ประมาณ พ.ศ. 2520 ถึงคราวฟ้าบันดาล หน้าพลอยบางกะจะเกิดหมดหายากขึ้นต้องไปเอาหน้าพลอยของพลอย บ่อตกพรม ในสมัยนั้นเป็นพลอยขุ่น ๆ สีน้ำข้าวซึ่งเรียกว่า พลอยหม่า ไม่มีราคา เหมือนสมัยนี้จึงได้เอา พลอยหม่าตกพรม มาเฉือนให้บาง ๆพอเหมาะแล้วปะด้วยความร้อนต่อไปตามปกติ
เหตุการณ์น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นในปีนั้นคือ พลอยหม่าได้ใสขึ้น หม่าหายไปและที่สำคัญที่สุด พลอยหม่านั้นมีสีสวย เป็นสีน้ำเงินสวย กลายเป็นการค้นพบ การเผาพลอย ครั้งสำคัญที่สุดของวงการอัญมณีไทย คุณสามเมือง จึงได้พัฒนาและปรับปรุงวิธีการเผาพลอย ด้วยการไปหาเตาความร้อนสูงขึ้น โดยได้พื้นฐานความรู้มาจากวิชา อุตสาหกรรมการค้า ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา จึงได้นำมาประยุกต์เพิ่มเติมเพื่อการเผาพลอย โดยเฉพาะการพัฒนาก็ประสบกับความสำเร็จในขั้นหนึ่งถึงขั้นทำการค้าขายได้
ประวัติใน การเผาพลอย เริ่มแรกได้พัฒนาเตาถ่านหิน เป็นเตาเผา พลอยน้ำเงิน และสามารถเผา พลอยแดง ได้ด้วย แต่คุณสามเมือง ไม่รัก พลอยแดง จึงไม่ได้ติดตามในช่วงนั้น คุณสนั่น โพธิภักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ที่รักและนับถือของ คุณสามเมือง ได้เป็นผู้ที่ได้สูตร การเผาพลอยไปและได้สืบทอดต่อไปให้กับ คุณรอน (ไม่ทราบนามสกุล) กับน้องชาย คุณสนั่น คือ คุณกนก ได้เผาพลอยแดง ด้วยสมัยนั้น คุณกนก (นก) เผาพลอยแดง ดังมากในช่วงนั้น รับจ้างโดยคิดค่าเผาเป็นจำนวน 30% ของราคาพลอย แต่คุณสามเมือง มิได้มีส่วนแบ่งรายได้ตอนนี้แต่อย่างใด คุณสามเมือง มิได้มีเจตนารับจ้างเผาพลอย และมิได้หยุดคิด
ต่อมาจึงได้เริ่มพัฒนาเตาเผาพลอยขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นเตาแก๊ส มีความสามารถ ถึงขั้น เผาพลอย เพื่อทำการค้าได้ เตาแก๊สใบนี้เป็นเตาแก๊สใบแรกเป็นเตาแม่ สามารถเผาพลอยสีน้ำเงินก็ได้ พลอยแดงก็ได้ โดยเฉพาะ พลอยบุศราคัม (สีเหลือง) ได้ดีที่สุด ต่อมา DR. HENRY A.HANNY ก็มาและได้เอาพลอยเหลืองไปตรวจที่ LAB SSEF ที่ SWISS เหตุผลคือไม่แน่ใจว่า เมื่อใช้วิธีเผาแล้วสีจะอยู่คงทนถาวรไหม แต่เมื่อ DR. HENRY ได้ตรวจด้วยความร้อน 1000 องศาเซลเซียส และวิธีอื่น ๆ ปรากฏผลว่าสีไม่ถอยแต่อย่างใด จึงได้เขียนจดหมายลงวันที่ 5 th JULY 1982 ยอมรับการไม่เปลี่ยนแปลงนี้ ผู้เขียนได้ใส่กรอบเป็นเกียรติประวัติและเป็นหลักฐานสำคัญจนถึงบัดนี้ และคงจะเก็บรักษาไว้จนถึงรุ่นลูกหลานต่อ ๆ ไปทุกรุ่น
อีกประมาณปลาย 1980 และในปี ค.ศ. 1982 เดือนกุมภาพันธ์ ได้นำพลอยเหลืองไปโชว์ที่เมือง TUCSON รัฐแอริโซนา ประเทศอเมริกา ช่วงนั้นนับได้ว่าทำให้ นักอัญมณีศาสตร์งงไปตาม ๆ กัน เราบอกความจริงว่าเป็นพลอยเผาและให้เขาตรวจ (นักอัญมณีศาสตร์) เมื่อตรวจดูแล้วเป็นพลอยธรรมชาติ แต่ไม่เคยเห็นสีที่เกิดจากการเผาจึงไม่สามารถยอมรับได้ เพราะไม่รู้จึงตอบได้แค่ว่า ไม่รู้ว่าสีมาจากไหน? Dr. CAB BISLEY จากสถาบัน A.G.L ตามคุณสามเมืองมาจันทบุรี Dr. PETER C.KELLER บรรณาธิการหนังสือ GEM $ GEMLOGGY ของ สถาบัน G.I.A ได้ตามมาจันทบุรีและได้ถ่ายรูปเบ้าพลอยและพลอยเหลือง ไปลงใน นิตยสาร GEM $ GEMLOGGY ฉบับ WINTER 1982
ต่อมา คุณสามเมืองกับคณะ ซึ่งมีคุณสนั่น โพธิภักดิ์ หาวัตถุดิบจากบ่อไพลิน บ่อออสเตรเลีย และบ่อสีลังกา (ซีลอน) ในช่วงนั้นเมื่อไปซื้อพลอยหม่า หรือพลอยกิวด้า ที่ซีลอน พ่อค้าที่ซีลอนดีใจมากมองว่าหมูจันทบุรีมาแล้ว ชาวจันท์ที่ไปซื้อพลอยกิวด้า เลือกซื้อได้ตามสะดวก ต่างคนต่างมอง ต่างฝ่ายเป็นหมู ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต่อมาวิชา เผาพลอย ถูกกระจายเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งคือ ในวงการเริ่มตื่น พลอยกิวด้า ซีลอน จึงได้ไปแย่งกันซื้อ โดยคณะพ่อค้าจันทบุรี และกรุงเทพมีพวกหนึ่งอยากรวยเร็วก็ไปขายวิชาเผาให้แก่พ่อค้าซีลอน พวกคนจันทบุรี และกรุงเทพฯ เริ่มซื้อขายยากขึ้น ขณะนั้นการซื้อ พลอยกิวด้า มาเผา ทำกำไรได้ง่ายมาก
ต่อมานักอัญมณีศาสตร์ได้มองว่า การซื้อพลอยมาเผานั้น พ่อค้าเอากำไรมากเกินไป จึงมีความพยายามวิจัยว่า พลอยเผา ไม่ควรมีราคาเท่าพลอยธรรมชาติ ซึ่งน่าจะเป็นความเข้าใจผิดมองเพียง ด้านเดียว โดยมิได้ศึกษาอย่างแท้จริง ว่าเนื้อแท้ ๆ คืออะไร เป็นอย่างไร และถ้ามองเพียงด้านเดียว ตาม นักอัญมณีศาสตร์ แล้วน่าจะใช่ตามนั้น แต่ในข้อจริงอีกด้านหนึ่งคือ พลอยเผา ทุกเม็ดนั้นได้อาศัยเนื้อเคมีตามธรรมชาติที่มีอยู่ ในพลอยเป็นตัวให้สี ไม่สามารถเผาพลอยให้มีสีทุกเม็ดได้ กลุ่มคณะ คุณสามเมือง บังเอิญเลียนแบบ ความร้อนของภูเขาไฟได้ การทำแบบนี้จึงเรียกว่า พลอยเผา
การเลียนแบบทำความร้อนเพื่อเผาพลอยนั้น เลือกใช้ความร้อนตามความเหมาะสม ของพลอยแต่ละประเภทได้ และมีความคงทนรักษาค่าของความงามได้ถาวร กว่าพลอยธรรมชาติ กล่าวคือ ถ้าพลอยธรรมชาติที่ว่านั้น หากถูกความร้อนสูงอีก สีจะหายไปไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ ซึ่ง ตรงข้ามกับพลอยเผา เพราะได้รับความร้อนสูงมาแล้ว เมื่อมาถูกความร้อนอีกก็ไม่กลัวว่าคุณค่าราคาจะเสียไป ถึงแม้สีจะถอยลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ตาม นักเผาพลอย ทั้งหลายสามารถเรียกสีกลับมา และสวยงามดังเดิมได้ (โชคดีอาจสวยกว่าเดิมอีกด้วย)
หลังจากได้มีการค้นพบ การเผาพลอย คนที่ไปซื้อพลอยก้อนมาเพื่อเผา ต้องซื้อพลอยด้วยการอ่านสีในอนาคตกัน ว่าถ้าเผาพลอยแล้ว สีจะเป็นอย่างไร ถ้าอ่านผิดก็ขาดทุน ขณะที่บางคนเลือกซื้อพลอยเผาแล้วดีกว่า เพราะไม่ต้องมาเสี่ยงกับการขาดทุน เพราะเห็นสีแล้วเป็นอย่างไร การเผาพลอยแบบนี้ ปัจจุบันเราเรียกว่า เป็นการเผาเก่า ซึ่งคุณสามเมือง แก้วแหวน ได้เป็นผู้เผาพลอยคนแรก และได้พัฒนาเตาเผาพลอยจนครบขบวนการเป็นคนแรกจริง ๆ น่าจะพูดได้ว่าเป็นคนแรกของโลก ก็ว่าได้
อย่าลืมติดตาม รู้จริงเรื่องอัญมณี กับผมได้ใหม่ในบทความต่อไปนะคับ...
อ่านบทความก่อนหน้า...
รู้จริงเรื่อง สปอดูมีน(Spodumene)
รู้จริงเรื่อง ไอโอไลต์ (Iolite)