แร่รัตนชาติต่างๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับโลกใบนี้ บ้างอวดโฉมอยู่บนหน้าดิน บ้างแฝงตัวอยู่ใต้ท้องน้ำลำธาร หรือฝังตัวอยู่ใต้ดิน รอให้ผู้คนได้ไปเก็บหรือขุดค้นมาเจียระไนให้เป็นพลอยงดงามมีคุณค่าและราคาที่คนทั้งโลกยินดีจ่าย ตั้งแต่เม็ดละร้อยไปจนถึงเม็ดละหลายพันล้านบาท
ในอดีตประเทศไทยมีแหล่งพลอยต่างๆ อยู่หลายแห่ง แต่ละแหล่งมีพลอยหลายชนิดอยู่ปะปนกัน แต่ชนิดที่เป็นหลักในการขุดค้นหรือทำเหมืองคือ ทับทิม และแซปไฟร์สีต่างๆ เช่น ไพลิน บุษราคัม เขียวส่อง เป็นต้น
แหล่งทับทิม
พบมากที่จังหวัดจันทบุรี ตราด
แหล่งแซปไฟร์
พบที่จังหวัดกาญจนบุรี จันทบุรี ตราด แพร่ สุโขทัย เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ
ในสมัยสมเด็จพระปิยมหาราช ได้มีการค้นพบทับทิมเป็นจำนวนมากที่จังหวัดจันทบุรี มีทั้งพลอยหน้าดินและพลอยที่ฝังตัวอยู่ในดินและทราย
นอกจากนี้ยังพบบุษราคัม เขียวส่อง สตาร์ และไพลินคุณภาพดีเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเพทายและโกเมนอีกด้วย ส่งผลให้มีการขุดหาและการทำเหมืองอย่างเป็นล่ำเป็นสันในเวลาต่อมา ทั้งที่จังหวัดจันทบุรี ตราดและแหล่งต่างๆ ในจังหวัดอื่นๆ
ในปัจจุบันแม้หลายๆ แหล่งจะถูกขุดจนพลอยร่อยหรอหรือหมดไปแล้ว แต่ที่จังหวัดจันทบุรียังคงมีการทำเหมืองกันอยู่ แต่เหลือไม่กี่ราย คือตำบลบางกะจะ อำเภอเมือง และที่เขาพลอยแหวน อำเภอท่าใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งของบุษราคัมและเขียวส่อง แม้ปัจจุบันจะมีปริมาณพลอยน้อยมากก็ตาม
กว่าเพชรพลอยแต่ละเม็ดแต่ละก้อนจะปรากฎโฉมแก่สายตาของผู้พบเห็นได้ก็ต้องผ่านขึ้นตอนของความพยามยามอย่างหนัก โดยมีความหวัง ความเชื่อ เป็นเดิมพัน
เริ่มตั้งแต่การขุดด้วยมือของผู้ที่ชำนาญการในการดูสายแร่ ที่ต่างมุ่งมั่นขุดหลุมพลอยแห่งความหวังและความเชื่อของตน ได้พลอยเม็ดเล็กๆ ราคาถูกเป็นส่วนใหญ่ นานๆ จึงจะมีผู้โชคดีขุดได้พลอยเม็ดใหญ่ๆ ขายได้ราคาสูงๆ บ้าง
ทางน้ำบางแห่งที่อาจจะมีพลอยน้ำงามบางชนิดฝังตัวอยู่ ก็จะมีผู้มาร่อนหาพลอยจากบริเวณทางน้ำเหล่านี้ หาพลอยเม็ดใสน้ำงามมาหล่อเลี้ยงชีวิตกัน
ส่วนบริเวณที่สำรวจแล้วว่ามีพลอยดก(มีปริมาณมาก) มักมีการทำเหมืองโดยการใช้เครื่องมือหนักและเทคนิคทันสมัยต่างๆ เข้าขุดเจาะซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พลอยในบ้านเราหมดไปอย่างรวดเร็ว
การทำเหมืองพลอย
เริ่มจากการใช้รถแทรกเตอร์และรถแบ็กโฮขุดและตักดิน(ชั้นตะกอน) ที่พบพลอยขึ้นมามาเทกองรวมกันในยุ้ง แล้วฉีดน้ำไล่ตะกอนลงตะแกรงคัดขนาด หรือเครื่องแยกให้ไหลตามรางไปสู่เครื่องร่อนแร่
ทุกหนึ่งหรือสองวันจะนำพลอยต่างๆ และแร่ที่มักจะเกิดอยู่รวมกัน(เพื่อนแร่) ที่ค้างอยู่ในเครื่องร่อนแร่ไปคัดด้วยมืออีกครั้งหนึ่ง
หรืออาจทำเหมืองโดยการใช้เครื่องยนต์สูบน้ำผสมตะกอนดินทรายที่มีพลอยจากเหมืองขึ้นมา ส่งผ่านตะแกรงหมุนเพื่อคัดขนาดหรือแยกกรวดขนาดใหญ่ออกไป ส่วนพลอยที่ค้างอยู่ในน้ำผสมตะกอนจะไหลลงรางส่งไปเครื่องร่อนแร่ที่ท้ายรางแล้วจึงนำพลอยชนิดต่างๆ และเพื่อนแร่มาแยกชนิดเป็นขึ้นตอนสุดท้าย
เมื่อนำมาคัดแยกอย่างละเอียดอีกครั้ง ปรากฏว่าได้พลอยประเภทบุษราคัม เขียวส่อง โกเมน เพทาย สตาร์ ฯลฯ
พลอยที่มีคุณภาพดีพอใช้ได้มีอยู่ไม่มาก ที่เหลือเนื้อพลอยล้วนแตกยับต้องขายถูกๆ เอาไปเจียระไนเป็นพลอยเม็ดเล็กเม็ดน้อยต่อไป
เจ้าของเหมืองบางรายขาดทุนเป็นจำนวนมาก ไม่คุ้มแม้แต่น้ำมัน แต่เขายังคงมีความหวังและความเชื่อ มุ่งมั่นทำเหมืองพลอยต่อไป เพราะเมื่อรวมผลผลิตทั้งปีแล้ว แต่ละเหมืองที่ดำเนินการอยู่ยังคงสามารถเลี้ยงตัวได้เป็นอย่างดี นอกจากบางคนที่โชคร้ายขาดทุนซ้ำซากจำต้องเลิกกิจการเสี่ยงโชคนี้ไป
ด้วยเหตุผลนี้พลอยจากจังหวัดจันทบุรี ตราดและแหล่งต่างๆ ที่มีความงดงาม แต่ละเม็ดจึงทวีคุณค่าและราคามากยิ่งขึ้นตามวันเวลาที่ล่วงเลย เพราะเมื่อขุดขึ้นมาหมดแล้วย่อมไม่มีจำหน่ายอีก จนกว่าจะค้นพบแหล่งใหม่ๆ ในโลกนี้ต่อไป ซึ่งอาจมีคุณภาพดีหรือด้อยกว่านี้ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
พลอยทับทิมสยามหรือแดงสยาม คือ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดของการขุดค้นอย่างเป็นล่ำเป็นสันจนพลอยหมดสิ้น ใครที่มีอยู่ในครอบครองต้องถือว่าโชคดีอย่างมหาศาล
ชาวไทยแต่ละยุคสมัยล้วนให้ความนิยมพลอยชนิดต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง จากหลักฐานทั้งที่เป็นบันทึกหรือการขุดค้นพบจะเห็นได้ว่าคนไทยให้คุณค่าอัญมณีมายาวนานนับพันปีแล้ว ทั้งในด้านของความสวยงามล้ำค่าและความเป็นสิริมงคล
นับแต่สมัยทวารวดี ลพบุรี ศรีวิชัย อู่ทอง เชียงแสน สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี ตลอดจนยุคสมัยของรัตนโกสินทร์ทุกรัชกาล
พลอยที่จำหน่ายอยู่ในเมืองไทยสมัยโบราณนั้นต่างมีที่มาหลากหลาย อาจเป็นทั้งของไทยและชนชาติอื่นๆ ที่ติดต่อค้าขายถึงกัน พ่อค้าที่นำมาจำหน่ายมักเป็นชาวต่างชาติ เช่น ชาวอินเดีย พม่า โดยนำอัญมณีเข้ามาทางด้านเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย
พลอยส่วนใหญ่มาจากอินเดีย พม่า กัมพูชา ศรีลังกา รัสเซีย ซึ่งเป็นอัญมณีจำพวกทับทิม ไพลิน มรกต โทแพซสีเหลือง อเมทิสต์และเพทาย เป็นต้น
สำหรับพลอยของไทยที่ถูกขุดพบนั้นมีหลักฐานบันทึกไว้ไม่น้อย เช่น บันทึกของ ไซมอน เดอ ลา ลูแบร์ (SIMON DE LA LOUBERE) ราชทูตชาวฝรั่งเศสที่มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ระบุว่า “เหมืองในประเทศสยาม” มีเพชร แซปไฟร์ และควอร์ต
จอห์น ครอว์เฟิร์ด (JOHN CRAWFURD) ชาวอังกฤษผู้ที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย บันทึกไว้ว่าที่ภูเขาเมืองจันทบูรณ์(จันทบุรี) มีทับทิม ไพลิน และบุษราคัม
ต่อมาประเทศไทยได้เป็นผู้จำหน่ายอัญมณีรายใหญ่ของโลก เมื่อสามารถผลิตแซปไฟร์(ไพลิน) จากแหล่งต่างๆ ได้มากถึง75% ของโลก ซึ่งนอยส์ (MAJOR HERBERT NOYES) ได้ระบุไว้เมื่อ พ.ศ.2478
รวมทั้ง พ.ศ.2511 พ่อค้าพลอยในกรุงลอนดอนได้ระบุว่าประเทศไทยผลิตแซปไฟร์ได้มากที่สุดในโลก
หลังจากนั้นไทยยังคงส่งออกไพลิน ทับทิม บุษราคัม สตาร์แซปไฟร์ ฯลฯ สู่ตลาดโลกอย่างต่อเนื่องอีกหลายสิบปี
แม้ในปัจจุบันพลอยจากแหล่งต่างๆ ของไทยได้ถูกขุดค้นจนร่อยหรอ หรือหมดสิ้นไปแล้วเกือบทุกแหล่ง ไทยก็ยังคงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ลำดับต้นๆ ของโลก
โดยการนำเข้าพลอยดิบ จากทุกแหล่งมาปรับปรุงคุณภาพด้วยการเผา การเจียระไน รวมทั้งการทำเครื่องประดับ ฯลฯ แล้วส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก
ที่มา : หนังสือเพชรพลอยอัญมณีแห่งความงาม
รูปภาพ : สมาคมผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี