กว่าจะมาเป็นอัญมณีสวยงามล้ำค่า ที่หลายคนยังไม่รู้!
พลอยหลากหลายชนิดจำนวนมหาศาลที่วางจำหน่ายอยู่ในตลาดอัญมณีทั่วโลกนั้น เกือบทุกชนิดล้วนผ่านการปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้ทวีความงามยิ่งขึ้น ด้วยกรรมวิธีต่างๆ ซึ่งได้ค้นคว้าทดลองมาเป็นเวลานานหลายสิบปี จากภูมิปัญญาของชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ด้อยการศึกษาในห้องเรียน แต่มากด้วยประสบการณ์และเรียนรู้จากโลกกว้าง ไปจนถึงนักวิชาการที่เปี่ยมด้วยองค์ความรู้หลากหลาย
วิธีการปรับปรุงคุณภาพอัญมณีที่นิยมมากที่สุด คือ การเผา (วิธีการเพิ่มคุณภาพด้วยความร้อน)
คนโบราณเรียกการเผาพลอยว่า “การหุงพลอย” การเผาพลอยจะทำให้เนื้อของพลอยธรรมชาติจำพวกทับทิมและแซปไฟร์สีต่างๆ ซึ่งมักจะมีเนื้อขุ่นหรือแตกยับ สียังไม่สวยสดเต็มที่ ให้มีสีสวยเนื้อใสมากขึ้นได้ แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จทุกเม็ดแต่พลอยจำนวนหนึ่งก็สามารถเปล่งประกายอวดโฉมความงามได้อย่างเต็มขีดสุดคล้ายเจ้าเงาะถอดรูปกลายเป็นพระสังข์ทองผู้สง่างาม
การเผาพลอยในประเทศไทยมีมานานไม่น้อยกว่า 100 ปี โดยมีผู้ริเริ่มเผาหรือหุงพลอยเพทายเป็นชนิดแรก เพทายที่เผาได้เปลี่ยนจากสีน้ำตาลหม่นๆ เป็นสีขาวใส หรือสีฟ้าอ่อน หรือสีฟ้าเข้มคล้ายน้ำทะเลลึก เป็นการเพิ่มคุณภาพและราคาได้เป็นอย่างมาก
ต่อมา พ.ศ.2505 คุณสามเมือง แก้วแหวน ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าความร้อนทำให้สีของพลอยแซปไฟร์สีน้ำเงินสวยใสขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ จากการทำพลอยปะหรือพลอยประกบ
โดยการใช้พลอยสังเคราะห์เป็นก้นพลอยและใช้พลอยแซปไฟร์ธรรมชาติสีน้ำเงินขุ่น(ไพลิน) จากบ่อตกพรม จังหวัดจันทบุรี เจียระไนเป็นแผ่นบางๆ เป็นส่วนหน้าพลอย แล้วนำพลอยทั้งสองส่วนนี้มาปะติดกัน โดยใช้น้ำประสานทอง และความร้อนเป็นตัวเชื่อม
ปรากฏว่าพลอยไพลินสีน้ำเงินขุ่นมัวจากบ่อตกพรมนั้น เมื่อได้รับความร้อนจากการเชื่อมต่อ ได้กลายสภาพเป็นอัญมณีสีน้ำเงินสวยสดใสขึ้น
จากการค้นพบโดยบังเอิญเช่นนี้ คุณสามเมืองจึงได้คิดสร้างเตาเผาพลอยขึ้น(เตาเผาถ่านโค้ก) และทดลองเผาพลอยแซปไฟร์สีน้ำเงินของออสเตรเลียซึ่งมักมีสีน้ำเงินเข้มทึบ ให้สวยใสขึ้นได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของเมืองไทย
มีเรื่องเล่าถึงการค้นพบโดยบังเอิญว่าความร้อนทำให้พลอยสวยขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่งว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ในเมืองจันทบุรี พ่อค้าที่เก็บพลอยไว้ในตู้เซฟได้นำพลอยออกมาหลังจากไฟดับแล้ว เห็นว่าพลอยมีความสวยขึ้นมาก จึงนำมาเป็นหลักในการทดลองเผาบ้าง
การทดลองเผาพลอยชนิดต่างๆ ให้ได้สีตามต้องการนั้นดำเนินตลอดมา จนกระทั่ง คุณสนั่น โพธิภักดิ์ ได้เผาทับทิมสยามให้มีสีแดงทองได้สำเร็จ (สีแดงสดสว่าง) เป็นเอกลักษณ์ของทับทิมชั้นยอดของไทย
การเผาพลอย
พลอยที่นิยมนำมาเผานั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. พลอยหม่า คือ แซปไฟร์ที่มีลักษณะขาวขุ่นคล้ายน้ำนม และอาจมีสีฟ้าจางๆ เทาจางๆ หรือเหลืองจางๆ ปนอยู่ พลอยเหล่านี้ที่เมืองซีลอนประเทศศรีลังกา เรียกว่า "กิวด้า" เมื่อเผาแล้วอาจได้สีน้ำเงิน(ไพลิน)หรือสีเหลือง(บุษราคัม)
2. พลอยเชื้อ พลอยพวกนี้จะมีสีให้เห็นตามขอบข้างพลอยหรือผิวพลอย อาจเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ชาวซีลอนเรียกว่า “ออตตู” หรืออาจมีสีเป็นหย่อมหรือเป็นแถบอยู่ในเนื้อพลอย ซึ่งเรียกกันว่า “อูรัล” เมื่อเผาแล้วจะให้สีน้ำเงินสวยไม่แพ้พลอยหม่า
ในกรณีที่เผาพลอยทับทิมหรือไพลินที่มีสีเข้มทึบอยู่แล้วให้มีความสวยสดใสขึ้น ก็จะมีเทคนิคในการเผาที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน
พลอยที่ผ่านการเผาจะเปลี่ยนคุณสมบัติทางแสง สี เช่น การเรืองแสง การแสดงสี ทำให้มีความสวยงามมากขึ้น
ปัจจุบันพลอยสด (ไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ) พวกทับทิมและแซปไฟร์ที่มีคุณภาพดีสีสวยนั้นหาได้ยากมาก เมื่อมีการเผาพลอยแล้วได้ผลดี จึงเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดอัญมณีโลกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีราคาย่อมเยากว่าด้วย
กรรมวิธีการเผาพลอย
นำพลอยจากแหล่งเดียวกันมาแยกชนิด แยกคุณภาพเสียก่อน เพราะต้องแยกกันเผา หลังจากทำความสะอาดก้อนพลอยด้วยการแช่ในน้ำกรดเพื่อให้กัดสิ่งสกปรกต่างๆ บริเวณผิวพลอยและในเนื้อพลอยแล้ว จะตัดแต่งพลอยให้มีรูปร่างอย่างคร่าวๆ แล้วนำพลอยใส่เป้า(ถ้วยเผาพลอย) ทนไฟใส่เตาเผา โดยใช้อุณหภูมิและเวลาที่ผู้ชำนาญในการเผาจะเป็นผู้กำหนด ด้วยความรู้และประสบการณ์(พลอยแต่ละชนิดให้อุณหภูมิและเวลาเผานานต่างกัน)
การเผาพลอยทำให้พลอยมีสีสวยสดใสมากขึ้น(เพิ่มสี) หรือมีสีอ่อนลงในระดับพอเหมาะ (ถอยสี) เป็นการเพิ่มคุณภาพที่มีสีถาวร
การเผาพลอยสามารถทำได้ทั้งวิธีการเผาแบบมีเปลวไฟ เช่น ใช้ถ่านหิน ถ่านไม้ แก๊สหุงต้ม หรือน้ำมันโซลาร์เป็นเชื้อเพลิง และการเผาด้วยเตาไฟฟ้า
พลอยบางเม็ดอาจเผาแค่ครั้งเดียวก็สวยเป็นที่น่าพอใจ บางเม็ดอาจต้องเผาซ้ำ หรือบางเม็ดยิ่งเผายิ่งแย่กว่าเดิมก็มี
การเผาพลอยจึงไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะได้ผลดีเสมอไป การเป็นเศรษฐีหรือหมดตัวย่อมเกิดขึ้นได้ในพริบตา เมื่อเปิดเบ้าใส่พลอยที่เผาและเห็นผลลัพธ์ที่ออกมา
กรรมวิธีการเจียระไนพลอย
1. นำพลอยที่ผ่านการเผาปรับปรุงคุณภาพแล้วมาโกลนให้เป็นรูปร่าง ให้ได้ทรงที่ดีและพยามยามรักษาน้ำหนักไว้ให้มากที่สุด(รูปทรงของก้อนพลอยเป็นตัวกำหนดรูปร่างที่ควรจะเจียระไน)
การกำหนดส่วนหน้าและส่วนก้นพลอยเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้พลอยมีสีสวยมากที่สุด และสีกระจายทั่วทั้งเม็ด(เมื่อมองจากด้านหน้าของพลอย) ดังนั้น ต้องกำหนดให้ส่วนที่มีสีเข้มที่สุดในก้อนพลอยซึ่งเรียกว่า จุดสี เป็นส่วนก้น เพื่อให้สะท้อนสีขึ้นหน้าพลอยได้ทั่วเม็ด
2. เจียระไนให้มีเหลี่ยมต่างๆ ตามความเหมาะสมกับพลอยแต่ละเม็ดและแต่ละรูปทรง เพื่อให้มีประกายระยิบระยับมากที่สุด (นิยมเจียรส่วนหน้าพลอยเป็นแบบเหลี่ยมประกาย ส่วนก้นพลอยเป็นเหลี่ยมแบบขั้นบันได)
3. ขัดเงาแต่ละเหลี่ยมให้มีความคมแวววาว เหลี่ยมเกยชิดกันพอดี จากผลึกพลอยที่อยู่ในดินเม็ดหนึ่ง เมื่อผ่านเส้นทางของการขุดค้น การปรับปรุงคุณภาพและการเจียระไนแล้ว พลอยแต่ละเม็ดได้เปลี่ยนโฉมเป็นอัญมณีงดงาม ล้ำค่า รอเดินทางไปสู่ผู้ซื้อทั่วทุกมุมโลกต่อไป…
โดยมีแหล่งการซื้อขายที่สำคัญอยู่ที่ ถนนศรีจันทร์ จันทบุรี และที่ถนนมเหสักข์ สุรวงศ์ สีลมและเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร
ที่มา : หนังสือเพชรพลอยอัญมณีแห่งความงาม