เพชร จัดเป็นอัญมณีที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมอย่างสูง ในแต่ละปีมีการใช้เพชรในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครี่องประดับเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่า เครื่องประดับแทบทุกชนิดมักมีเพชรเป็นองค์ประกอบ เพชรจัดเป็นแร่ที่เกิดตามธรรมชาติ มีองค์ประกอบหลักเป็นคาร์บอน (Carbon) มีความแข็งเท่ากับ 10 ตามโมห์สเกล จัดว่าแข็งที่สุดในแร่ทั้งหมดที่พบในโลก เพชรตามธรรมชาตินั้นเกิดใต้พื้นโลกที่มีความลึกมากกว่า 100 กิโลเมตร ภายใต้สภาวะความร้อนและความดันมหาศาล เพชรทั้งหมดที่เราใช้กันอยู่นั้นถูกพาขึ้นมาสู่ผิวโลกโดยการพาของแมกมาใต้พื้นโลกเมื่อหลายร้อยล้านปีมาแล้ว
จากความนิยมเพชรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เพชรกลายเป็นอัญมณีที่มีความต้องการสูงและอุตสาหกรรมเพชร ก็จัดว่าเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีมูลค่าการค้าสูงมากอีกด้วย ซึ่งผลกระทบจากความนิยมเพชรนี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการนำอัญมณีชนิดอื่น ที่มีลักษณะคล้ายเพชรมาใช้ประดับเลียนแบบเพชร หรือที่เรามักเรียกกันว่า เพชรเลียนแบบ (Diamond simulants)
โดยในตลาดทุกวันนี้ ก็มีเพชรเลียนแบบหลากหลายชนิด ทั้งชนิดที่เป็นอัญมณีธรรมชาติ และชนิดที่เป็นอัญมณีที่เลียนแบบหรือประดิษฐ์ขึ้น กลุ่มอัญมณีธรรมชาติที่เป็นที่รู้จักกันดี อาทิ เพทาย ไร้สี (Colorless zircon) แซปไฟร์ไร้สี (colorless sapphire) เป็นต้น และส่วนที่มนุษย์ทำขึ้นเลียนแบบ เช่น คิวบิกเซอร์โคเนีย (Cubic zirconia) มอยซาไนต์ (Moissanite) เป็นต้น แต่ทั้งนี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีต่างๆ ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่เทคโนโลยีการสังเคราะห์เพชร ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวทำให้เกิดอัญมณีชนิดใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมที่เราเรียกว่า เพชรสังเคราะห์(synthetic diamond)
เทคโนโลยีในการสังเคราะห์เพชรนั้นมีการคิดค้นและพัฒนามานานนับจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 แต่ในอดีตเพชรสังเคราะห์จะถูกใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เนื่องจากคุณสมบัติด้านความแข็งเช่น นำไปทำผงขัด หรือการใช้ประกอบการทำอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ สาเหตุเพราะยังไม่สามารถผลิตให้มีขนาด ความใส รวมทั้งสีที่สามารถนำมาใช้เป็นอัญมณีได้
จนกระทั่งช่วงปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมาจึงเริ่มมีการพัฒนากระบวนการสังเคราะห์เพชรที่มีคุณภาพสูงเพื่อใช้เป็นอัญมณี (gem-quality synthetic diamond) แต่ในช่วงแรกเพชรที่สังเคราะห์ได้นั้นมักมีสีน้ำตาลจึงยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาจนสามารถผลิตเพชรสังเคราะห์ที่มีความขาว สะอาด จนเป็นที่ต้องการของตลาด เพชรสังเคราะห์จึงเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมอัญมณีอย่างแท้จริงนับจากปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา
กระบวนการสังเคราะห์เพชรนั้นมีหลักๆ ด้วยกัน 2 วิธี คือ กระบวนการใช้ความร้อน และความดันสูง หรือ High Pressure High Temperature นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า HPHT และกระบวนการ Crystal Vapor Deposit หรือ CVD ซึ่งทั้งสองกระบวนการนี้ล้วนแล้วแต่สามารถผลิตเพชรสังเคราะห์ที่มีคุณภาพสูงได้ นอกจากเพชรขาวแล้ว ในปัจจุบันเหล่าเพชรสีไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า สีเหลือง สีชมพู ก็สามารถผลิตได้อีกด้วย
การตรวจสอบเพชรสังเคราะห์ออกจากเพชรธรรมชาตินั้น ได้มีการศึกษา วิจัย และมีบทความตีพิมพ์ออกมาในแวดวงวิชาการกันอย่างมากในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาโดยห้องปฏิบัติการชั้นนำต่างๆ ของโลก ซึ่งถ้ากล่าวถึงในแง่การตรวจสอบ ต้องบอกได้ว่า ห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่ที่มีเครื่องวิเคราะห์ และเทคนิคที่พร้อมนั้น สามารถตรวจสอบแยกเพชรธรรมชาติออกจากเพชรสังเคราะห์ได้อย่างแน่นอน
แต่เนื่องจากปัจจุบันการผลิตเพชรสังเคราะห์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และผลจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ต้นทุนการผลิตเพชรสังเคราะห์ต่ำลงอย่างมาก ทำให้ในปัจจุบันพบว่า มีเพชรสังเคราะห์เข้ามาขายในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาสำคัญในอุตสาหกรรมไทยที่ผู้ประกอบการเป็นกังวล นั่นคือ เรื่องการปะปนของเพชรสังเคราะห์กับเพชรธรรมชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มเพชรที่มีขนาดเล็ก เช่น เพชรขนาดต่ำกว่า 15 สตางค์ ที่มักจะมีการซื้อขายกันเป็นหมู่ครั้งละหลายเม็ด โดยทั่วไปไม่สามารถตรวจสอบได้ทุกเม็ด ซึ่งการปะปนดังกล่าวไม่เพียงกระทบความเชื่อมั่นในการซื้อเพชรของผู้บริโภคทั่วไป แต่ยังกระทบถึงความเชื่อมั่นในการค้าเพชรของทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเพราะเพชรจัดเป็นอัญมณีที่มีการใช้ประกอบในการผลิตเครื่องประดับแทบทุกประเภทดังที่กล่าวมาแล้ว
เพชรสังเคราะห์ ที่มักถูกนำมาใช้ปะปนในกรณีนี้พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพชรที่สังเคราะห์จากกระบวนการ CVD ซึ่งเป็นวิธีการที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่ากระบวนการ HPHT ซึ่งมักนิยมใช้สังเคราะห์เพชรที่มีขนาดใหญ่ และสามารถผลิตได้ในจำนวนที่มากกว่าโดยเฉพาะในกลุ่มเพชรเม็ดเล็กๆ ปัญหาดังกล่าวจึงจัดเป็นปัญหาสำคัญที่ผู้ค้าเพชรและเครื่องประดับทั้งของไทยและทั่วโลกกำลังมีความวิตกกังวลอย่างยิ่ง
ในส่วนห้องปฏิบัติการ แม้ว่าการตรวจสอบเพชรธรรมชาติจากเพชรสังเคราะห์จะเป็นวิธีที่ไม่ยากนัก แต่การตรวจสอบเพชรขนาดเล็กๆ ก็มักเป็นความท้าทายเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเพชรเหล่านั้นถูกฝังประดับอยู่ในตัวเรือนแล้ว เนื่องจากมีข้อจำกัดมากมายในเทคนิคกระบวนการตรวจสอบ แต่ในฐานะที่สถาบันเป็นหน่วยงานหลักของชาติซึ่งจะต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมให้เติบโตต่อไปได้ จึงได้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคนิคการตรวจสอบของสถาบันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันทางห้องปฏิบัติการตรวจสอบอัญมณีมีเทคนิคการตรวจสอบแยกเพชรธรรมชาติออกจากเพชรสังเคราะห์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่มีการแข่งขันสูงขึ้นตลอดเวลาได้อย่างเข้มแข็ง
ขอบคุณบทความดีๆ จาก : GIT สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)