บทความผ่านๆ มาผมได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอัญมณี ประเภท อัญมณีอนินทรีย์ กันไปบ้างแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปอัญมณีจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ อัญมณีอนินทรีย์ และ อัญมณีอินทีย์
บทความนี้ผมจะพามารู้จัก อัญมณีอินทรีย์ กันว่าจะมีชนิดไหนกันบ้างและที่นิยมนำมาทำเครื่องประดับ… ก่อนอื่นมารู้จักความหมาย อัญมณีอินทรีย์ กันก่อนเลยคับ…
อัญมณีอินทรีย์ หมายถึง อัญมณีที่ได้จากสิ่งมีชีวิตซึ่งอาจเป็นตัวสิ่งมีชีวิตเองหรือเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตสร้างขึ้น นอกเหนือจากแร่และหิน อัญมณีอินทรีย์ ที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่จำพวก มุก อำพัน ปะการัง งาช้าง และกระดองเต่า เป็นต้น นอกจากนี้ เปลือกหอย กระดูก เขาสัตว์และถ่านหิน ก็จัดเป็น อัญมณีอินทรีย์ เช่นกัน เริ่มที่ อัญมณีอินทรีย์ ชนิดที่1 กันเลย…คับ
มุก (PEARL)
ประวัติ ความเป็นมา ความเชื่อ
มุก นับ เป็นอัญมณีอินทรีย์ ที่นิยมและถือว่ามีคุณค่ามากที่สุดในกลุ่ม อัญมณีอินทรีย์ ด้วยกัน จากประวัติศาสตร์ พบว่ามีการค้นพบและนำ มุก มาใช้ ตั้งแต่ 4,000 ปีมาแล้ว เครื่องประดับมุกที่เก่าแก่ที่สุดถูกค้นพบในสุสานเจ้าหหญิงแห่งเปอร์เซีย สวรรคตเมื่อ 520 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศษ ในสมัยโบราณเชื่อว่า มุก เป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ และเป็นอัญมณีที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมาเชื่อว่า มุก เป็นตัวแทนของดวงจันทร์และมีอำนาจวิเศษ ในยุคโรมันคลาสสิก ผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่จะใช้เครื่องประดับมุกได้ มุก ได้นำมาเป็นของขวัญในวันแต่งงาน โดยศาสนาฮินดูได้นำ มุก ที่ยังไม่ได้เจาะรูมาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีแต่งงาน ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 13-14 มุก เป็นที่นิยม อย่างสูงไม่ว่าจะมาสวมใส่หรือประดับเครื่องแต่งกาย
ในทวีปอเมริกายกย่องให้ มุก เป็นพลังแห่งความงามและอำนาจชาว อเมริกาพื้นเมืองที่อาศัยบริเวณชายฝั่งแอตแลนติกและลุ่มน้ำมิสซิสซิปปี เป็นที่แรกที่รวบรวมเปลือกหอยและมุกน้ำจืดไปประดับเสื้อผ้า ชายและหญิงต่างสวมใส่จี้และต่างหูมุก บางชนเผ่านำ มุก ไปเป็นเครื่องบรรณาการด้วย ในอดีตที่คณะสำรวจสเปนได้พบโลกใหม่ที่มีชาวพื้นเมืองมีการทำประมงมุก ซึ่งต่อมาโลกใหม่นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งของมุก คือ เมืองเซบิยา และ กาดิซ
มุก มีกำเนิดจากหอยชนิดต่างๆ ทั้งในน้ำจืด น้ำเค็ม และเกิดได้ในทั้ง หอยสองฝา และ หอยฝาเดียว สามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
1. มุกธรรมชาติ เกิดขึ้นจากมีวัตถุแปลกปลอมเข้าไปในตัวหอยทำให้หอยสร้างสารเมือกเพื่อลดความระคายเคืองจนเกิดเป็นมุกขึ้นมา โดยมนุษย์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้เกิดขึ้น
2. มุกเลี้ยง มีลักษณะการกำเนิดเหมือนกับมุกธรรมชาติ แต่มนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้เกิดขึ้น
แหล่งที่พบ มุก
แหล่งสำคัญของ มุกธรรมชาติ ได้แก่ อ่าวเปอร์เซีย ศรีลังกา ออสเตรเลีย ตาฮิติ และทะเลใต้ แหล่งสำคัญของ มุกเลี้ยงน้ำเค็ม ได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ตาฮิติ จีน สำหรับประเทศไทยอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต และแหล่งสำคัญของ มุกเลี้ยงน้ำจืด อยู่ที่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา
ชื่อทางการค้า ที่เรียก มุก ในท้องตลาด
มุกญี่ปุ่น หรือ มุกอะโกยา (Akoya Pearl) ใช้เรียก มุกเลี้ยงน้ำเค็ม ที่เกิดจาก หอยพันธุ์ Pinctada Fucata หรือ หอยอะโกยา (Akoya) มีสีขาว ครีม ชมพู ฟ้าและเหลือง มักมีรูปร่างกลม โดยทั่วไปขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 มิลลิเมตร
มุกทะเลใต้ (Southsea Pearl) ใช้เรียก มุกน้ำเค็ม ที่เกิดจากหอยพันธุ์ Pinctada Maxima หรือ หอยจาน หรือ gold or silver lipoyster มีสีขาว เทา และเหลือง ไม่ค่อยพบรูปร่างที่กลมสมบูรณ์ โดยทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ประมาณ 10-20 มิลลิเมตร
มุกตาฮิติ หรือ มุกดำ (Tahitian Pearl or Black Pearl) ใช้เรียก มุกน้ำเค็ม ที่เกิดจากหอยพันธุ์ Pinctada Magaritifera หรือ black lipoyster มีสีดำ เท่า น้ำตาลแกมเทา และเงิน ถ้ามีสีเหลือบเป็นสีเขียวเรียกว่า peacock color จะมีราคาสูงกว่าปกติ โดยทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-20 มิลลิเมตร
มุกน้ำจืด หรือ มุกจีน ใช้เรียก มุกเลี้ยงน้ำจืด ที่เลี้ยงในประเทศจีน ซึ่งมีการส่งออกและเป็นที่นิยมมากเนื่องจากมีราคาถูก บางส่วนถูกนำไปทำเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางและยาแผนโบราณ มุกน้ำจืด ที่เลี้ยงในประเทศญี่ปุ่น หรือ มุกน้ำจืด ที่มีคุณภาพดี บางครั้งเรียกว่า “มุกบิวา” (Biwa Pearl) มาจากชื่อของทะเลสาบบิวา ซึ่งเป็นแหล่งมุกน้ำจืดที่มีคุณภาพดี
มุกซีก (Mabe Pearl) ใช้เรียกมุกเลี้ยงที่มีลักษณะเป็นโดมสามารถเลี้ยงได้ด้วยหอยหลายชนิด เช่น หอยปีกนก (Pteria penguin) หอยเป๋าฮื้อ (Abalone) หอยจาน บางครั้งเลี้ยงให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆในฝาหอย เช่น พระพุทธรูป หรือ รูปเจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น
มุกเคชิ (Keshi Pearl หรือ Seed Pearl) เป็นมุกขนาดเล็กๆ รูปร่างไม่กลม เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 มิลลิเมตร เกิดพร้อมกับการเพาะเลี้ยงมุก จัดเป็นผลพลอได้ของการเพาะเลี้ยงมุก ปัจจุบันมุกเคชิ ยังใช้เรียกมุกที่ไม่มีนิวเคลียส แม้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 2 มิลลิเมตร
มุกอะบาโลน (Abalone Pearl) เกิดโดยธรรมชาติ ได้จากหอยเป๋าฮื้อ มีสีเขียวน้ำเงิน
มุกเมโล (Melo Pearl) ได้จากหอยสังข์ มักมีรูปร่างกลม ขนาดใหญ่ มีสีส้ม น้ำตาล จนถึงน้ำตาลแกมแดง ไม่มีความวาวแบบมุก
คอนช์เพิร์ล (Conch Pear) มีสีชมพู ได้จากหอยสังข์ มักมีขนาดเล็กกว่า 3 มิลลิเมตร ไม่มีความวาวแบบมุก ถ้ามีลักษณะริ้ว เหมือนเปลวไฟบนผิวชัดเจนจะถือว่ามีคุณค่ามากขึ้น
การเลือกซื้อ "มุก"
สิ่งที่ควรคำนึงและใช้ในการพิจารณา ได้แก่
รูปร่าง(Shape) สามารถพบได้ทั้งรูปร่างกลม จนถึงไม่กลม มุกที่มีรูปร่างกลมสมบูรณ์ถือว่าดี และมีค่ามากที่สุด ส่วนมุกที่ไม่กลมหรือไม่มีสมมาตร เหมาะแก่การนำมาทำงานออกแบบรูปร่างต่างๆของมุกมีชื่อเรียก ดังนี้
Round มีรูปร่างกลมและมีสมมาตร
Off-Round มีรูปร่างกลมแบนหรือกลมรีเล็กน้อย
Semi-Baroque มีรูปร่างไม่กลมอย่างชัดเจนอาจมีรูปร่างคล้ายหยดน้ำ ไข่ หรือกระดุม เป็นต้น
Baroque มีรูปร่างบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน ไม่มีสมมาตร ส่วนมากผิวไม่เรียบสม่ำเสมอ
ความวาวของมุก (Luster) เกิดจากระดับความเรียบและการสะท้อนของแสงบนผิวของมุก มุก ที่มีความวาวสูงสามารถสังเกตได้จากเงาสะท้อนซึ่งจะต้องเห็นภาพสะท้อนได้คมชัด มีความแตกต่างของเงามืดและสว่างอย่างชัดเจน สิ่งสำคัญคือต้องหมุนมุกไปรอบๆทุกทิศทางเพื่อดูความสม่ำเสมอของความวาว ถ้ามีหลายเม็ดให้พยายามเปรียบเทียบกับเม็ดข้างเคียงด้วย
ความหนาของชั้นมุก (Nacre thickness) การเลี้ยงมุกแบบใส่นิวเคลียสทำให้เกิดชั้นมุก ซึ่งมีความหนาแตกต่างกันไป ระยะเวลาการเลี้ยงแตกต่างกันส่งผลให้ความหนาชั้นมุกแตกต่างกันด้วย ชั้นมุกที่หนานั้นจะทำให้มุกที่ได้มีความวาวสูงและความทนทานมากขึ้น ในการซื้อมุกพร้อมใบรับประกันจะระบุความหนาของชั้นมุกให้ด้วย
สีของมุก (Coler) ในการพิจารณาดูสี 2 ส่วน คือ body color ซึ่งเป็นสีพื้นของมุกเม็ดนั้น และ overtone color ซึ่งเป็นสีอื่นๆ ที่มองเห็นอยู่บนสีพื้น เกิดจากการแทรกสอดของแสงผ่านชั้นต่างๆ ที่ผิวของมุก ควรมองดูสีของมุกด้วยแสง daylight หากมองดูภายใต้แสงชนิดอื่นอาจทำให้ดูมีสีเปลี่ยนไป เช่น ถ้าดูด้วยแสงจากหลอด halogen หรือ spotlight มุกจะดูมีสีชมพูหรือเหลืองกว่าปกติ เป็นต้น
สีของมุกที่นิยม แบ่งได้ตามชนิด ดังนี้
มุกญี่ปุ่น (Akoya Pearl) สีที่นิยมและมีราคาแพงที่สุด คือ สีชมพูอ่อน รองลงมาคือ สีขาว ถัดมาคือ สีครีมอ่อนๆ และสีครีม ส่วนสี overtone ที่พบมากมี 3 สี คือ ชมพู เงินวาว และเขียว
มุกทะเลใต้ (Southsea Pearl) สีที่พบมีตั้งแต่สีขาว ชมพู เหลืองอ่อนจนถึงเหลืองแกมชมพูเข้ม ส่วน overtone ที่พบ ได้แก่ ชมพู เงินวาว ฟ้าเทาหรือเขียว
มุกดำ (Black Pearls) สีที่พบคือสีเทาดำถึงดำและมี overtone สีเขียวและชมพู ฟ้า ทอง เงิน และม่วงดำ
ความสมบูรณ์ของผิวมุก มุกมีผิวเรียบสม่ำเสมอจะมีค่ามากที่สุด ตำหนิที่พบได้แก่ ผิวไม่เรียบเสมอกัน จุดสี รอยบิ่น หลุม จุดด้าน รอยร้าว หรือรอยขีดข่วน ถ้ามีปริมาณตำหนิน้อยมักไม่มีผลต่อคุณภาพและราคามากนักแต่ถ้ามีมากก็จะทำให้คุณค่าและราคาด้อยลง
มุก ปรับปรุงคุณภาพ โดยทั่วไปได้แก่การย้อมสีซึ่งมักทำกับมุกน้ำจืด การฟอกสีเพื่อทให้มุกขาวขึ้นการเคลือบผิวให้มุกดูวาวขึ้นแต่สารเคลือบอาจหลุดลอกไปเมื่อใช้ไปเป็นเวลานาน และการอาบรังสีทำให้มุกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือดำเพื่อเลียนแบบมุกดำ
มุก เลียนแบบ คืออัญมณีหรือวัตถุอื่นที่นำมาเลียนแบบมุก เช่น พลาสติก แก้ว เปลือกหอย เป็นต้น สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้โดยสังเกตจากผิวจะเรียบลื่น ไม่มีตำหนิ รูปร่างมักกลมสมบูรณ์ กรณีที่เป็นสร้อยมุกเลียนแบบนั้นมุกทุกเม็ดจะมีสี ประกาย ความวาว และขนาดเหมือนกันทุกเม็ด และมุกเลียนแบบทำจากพลาสติกจะมีน้ำหนักเบากว่ามุกแท้มาก
การดูแลรักษาและข้อควรระวัง "มุก"
หลีกเลี่ยงสารเคมีหรือน้ำยาฉีดต่างๆ เนื่องจาก มุก ประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต และสารประกอบพวกโปรตีน ซึ่งสารเคมีเหล่านี้จะทำลายชั้นผิว มุก ทำให้ความวาวลดลงได้หลังสวมใส่ ควรเช็ดเครื่องประดับทุกครั้งด้วยผ้านิ่ม หรือผ้าชุบน้ำก่อนเก็บ ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำและควรเก็บแยกจากเครื่องประดับชนิดอื่น เนื่องจากมุกมีความแข็งต่ำเกิดรอยขีดข่วนง่าย
ไม่ควรใช้เครื่องทำความสะอาดแบบอัลตราโซนิก ในการทำความสะอาดเครื่องประดับมุก ไม่ควรเก็บในที่อับชื้นหรือในที่อากาศร้อนควรเก็บไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี เช่น เก็บในถุงผ้าหรือห่อด้วยผ้าแทนการเก็บในถุงพลาสติก เครื่องประดับมุก ไม่ควรเก็บในที่อับชื้นหรือในที่อากาศร้อน ควรเก็บไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี เช่น เก็บในถุงผ้าหรือห่อด้วยผ้าแทนการเก็บในถุงพลาสติก
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านที่ชื่นชอบอัญมณีประเภทอินทรีย์ ชนิด มุก กันไม่มากก็น้อย…นะคับ และบทความหน้าผมจะมาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอัญมณีอินทรีย์ ที่มีชื่อเรียกว่า อำพัน กันคับ…
อย่าลืมติดตาม รู้จริงเรื่องอัญมณี กับผมได้ใหม่ในบทความหน้า นะคับ...
อ่านบทความก่อนหน้า...
รู้จริงเรื่อง เพริดอต (PERIDOT)