บทความนี้ผมจะพามาทำความรู้จัก กลุ่มพลอยเนื้อแข็ง อีกกลุ่มหนึ่งที่มีหลากหลายสีในตระกูลแซฟไฟร์ ยกเว้นสีน้ำเงิน(ไพลิน) หรือที่เรียกว่า "แฟนซีแซฟไฟร์" ซึ่งมีค่าความแข็งตามสเกลของโมส์เท่ากับ 9 เช่นเดียวกันกับ ทับทิม ไพลิน
แฟนซีแซฟไฟร์ (Fancy Sapphire)
หมายถึง พลอยแซฟไฟร์ หลากหลายสี แต่ยกเว้นสีน้ำเงิน(ไพลิน) อาทิ เช่น
แซฟไฟร์สีเหลือง หรือที่คนไทยเรียกว่า “บุษราคัม” แซปไฟร์สีเหลืองที่นิยมกันจะต้องมีสีเหลืองสดใส ไม่มีสีน้ำตาล ส้ม หรือเขียวปน
แพดพาแรดชา หรือ แซฟไฟร์สีส้มชมพู (Puindish Orange Sapphire) มีสีปานกลางถึงอ่อน คำว่า "แพดราแรดชา" เป็นภาษาสิงหล แปลว่า ดอกบัวที่มีสีชมพูอมส้มสวยงามและหายาก จึงมีราคาสูงมากเทียบเท่าไพลิน พลอยแพดพาแรดชามีถิ่นกำเนิดในประเทศศรีลังกา
แซฟไฟร์สีเขียว ชาวจันทบุรีเรียกว่า “เขียวส่อง” (Green Sapphire) หรืออีกชื่อที่นิยมเรียกกันคือ "มรกตจันท์"
แซฟไฟร์สีชมพู (Pink of Rose Sapphire) เป็นแซฟไฟร์อีกสีหนึ่งที่ค่อนข้างหายาก แซฟไฟร์ สีชมพูที่นิยมกันควรเป็นสีชมพูสดใส
แซฟไฟร์สีม่วงแดงและสีม่วง (Purple and Violet Sapphire) เป็น แซฟไฟร์ มีสีม่วงแดงคล้ายดอกตะแบก และมีสีม่วงเหมือนดอกมะเขือ ผู้ค้าอัญมณีมักเรียก แซปไฟร์สีม่วงแดงนี้ว่า “แอเมทิสต์ตะวันออก”(Oriental methyst)
แซฟไฟร์เปลี่ยนสีเหมือนอะเล็กซานไดร์ต์(Alexandrite-like Sapphire)
แซฟไฟร์ นี้มีสีน้ำเงินอมเขียวในแสงกลางวัน (อุณหภูมิสี 5,500-6,500 เคลวิน) และจะเป็นเปลี่ยนสีม่วงแดงในแสงจากหลอดไฟไส้ทังสเตน (อุณหภูมิสี 3,200-3,400 เคลวิน) ปัจจุบัน แซฟไฟร์สีนี้ค่อนข้างหายากและยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด
แซฟไฟร์สีส้ม(Orange Sapphire) ส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดเรียกเป็น แพดพาแรดชา กันซึ่งสีของแพดพาแรดชาจะเป็นสีส้มชมพู ส่วนแซฟไฟร์ สีส้มที่นิยมกันควรเป็นสีส้มสดใส ไม่มีสีอื่นเจือปน
แซฟไฟร์ไร้สี (Colorless Sapphire) แซฟไฟร์ นี้จะปราศจากสี เป็นแซฟไฟร์สีขาวใส บริสุทธิ์ ส่วนใหญ่มักจะใช้เป็นอัญมณีเลียนแบบเพชร
ประวัติของ แซฟไฟร์
มีการค้นพบหลักฐานว่า ชาวอีทรัสกัน เริ่มใช้ แซฟไฟร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล ต่อมาเมื่อประมาณกว่า 1,000 ปีที่ผ่านมาได้พบบันทึกของนักธรรมชาติวิทยาชาวกรีก ชื่อ เทโอฟราสทัส และ ไพลนี (ค.ศ. 23-79) นักปราชญ์ชาวโรมัน ได้เขียนยกย่องชื่นชมอัญมณีหลากสีที่เขาใช้คำว่า ไฮย์อะซิน ซึ่งคำนี้ในปัจจุบันเชื่อกันว่าหมายถึง "แซฟไฟร์"
คำว่า แซฟไฟร์ มีรากศัพท์มาจากภาษาโบราณหลายภาษา เช่น ภาษาอาระบิก คือ คำว่า “Safir” แปลว่า “อันเป็นที่รักยิ่งของดาวพระเสาร์” ภาษาลาตินคือ คำว่า “Sapphirus” แปลว่า สีน้ำเงิน และภาษากรีก คือคำว่า “Sappheiros” ซึ่งเป็นชื่อของเกาะชื่อ “Sappherine” ในทะเลอาระเบียน ซึ่งเป็นแหล่งที่พบแซปไฟร์ ในสมัยกรีก ชาวเปอร์เซียน เรียก แซฟไฟร์ ว่า หินจากสวรรค์
คำว่า แซฟไฟร์ ยังใช้เรียกหินสีน้ำเงินลาพิสลาซูลี (Lapis Lazuli) มาจนกระทั่งยุคกลางในยุโรปซึ่งบรรดากษัตรย์นิยมใช้ แซฟไฟร์ ประดับหัวแหวนและเข็ดกลัด ในยุคนั้นจึงเรียกแซฟไฟร์ ว่า “Royal Stone” หรือหินของกษัตริย์” เพราะสีน้ำเงินเป็นสีของท้องฟ้าซึ่งเชื่อกันในยุคนั้นว่า สวรรค์เป็นแหล่งพลังอำนาจ
นอกจากนั้น ยังใช้แซฟไฟร์ ประดับแหวนที่ใช้ในกิจการเกี่ยวกับศาสนา ในยุคเรเนอซองแซฟไฟร์ เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้มีอันจะกิน และใน ค.ศ. 1981 แซฟไฟร์ ก็ได้รับการกล่าวขานกันไปทั่วโลกเมื่อเจ้าฟ้าชายชาร์ลทรงสวมแหวนหมั้น แซฟไฟร์ แก่พระคู่หมั้น นางสาวไดอานา ซึ่งเมื่อเสกสมรสแล้วได้รับสถาปนาเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์
สัญลักษณ์และความเชื่อ
"แซฟไฟร์"
แซฟไฟร์ เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์หรือความจริง ความมั่นคง หรือความแน่วแน่ พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า ได้ระบุไว้ว่า แซฟไฟร์ เป็นอัญมณี 1 ใน 12 อัญมณีพื้นฐานที่มีพลังอำนาจมากที่สุด จึงใช้ประดับที่เกราะหน้าอกของบาทหลวง การสวมใส่อัญมณีแต่ละชนิดในแต่ละเดือนทำให้เกิดสิริมงคล เช่น ตำนานเก่าแก่ของชาวฮินดูกล่าวไว้ว่า แซฟไฟร์เป็นอัญมณีสำหรับผู้ที่เกิดเดือน กรกฎาคม และเชื่อว่า แซฟไฟร์ เป็นอัญมณีประจำราศีพฤษภ กลุ่มดาวรูปโค หรือผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 เมษายน- 21 พฤษภาคม
แต่ชาวอาหรับเชื่อว่า แซฟไฟร์ เป็นอัญมณีของผู้ที่เกิดราศีเมถุน กลุ่มดาวรูปคนคู่หรือผู้ที่เกิดระหว่าง วันที่ 22 พฤษภาคม- 21 มิถุนายน ต่อมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1912 ได้มีการประชุมสมาคมผู้ค้าเครื่องประดับแห่งชาติที่เมืองแคนซัส ได้มีการกำหนดอัญมณีประจำเดือนเกิดสมัยใหม่ขึ้น ทำให้แซฟไฟร์เป็นอัญมณีประจำเดือนประจำเดือน กันยายน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แซฟไฟร์ เป็นอัญมณีที่เป็นมงคลสำหรับงานฉลองครบรอบแต่งงานปีที่ 5 หรือ 45 นอกจากนั้น ยังเชื่อกันอีกว่า แซฟไฟร์ ช่วยให้ผู้สวมใส่มีสายตาดีขึ้น รวมทั้งเห็นอนาคต
เป็นเวลานับพันปีมาแล้วที่มนุษย์เชื่อพลังอำนาจของแซปไฟร์ มีหลักฐานมากมาย อาทิ ตำนานกล่าวถึงกษัตริย์ ดิเกรอน ว่า แซฟไฟร์ ได้ป้องกันพระองค์จากอันตรายและความอิจฉาตามคำบอกเล่าของมาร์โบด ในศตวรรษที่ 11 พลังอำนาจของแซปไฟร์ยังรวมถึงอำนาจขับไล่หรือป้องกันการฉ้อฉลหลอกลวง และป้องกันความน่ากลัวและการก่อการร้ายรวมทั้งอำนาจปกป้องผู้สวมใส่จากยาพิษและวิญญาณชั่วร้าย
หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี เอกสารบันทึกเรื่องราวของชาวฝรั่งเศสได้รายงานว่า แซฟไฟร์ มีพลังอำนาจป้องกันความยากจน ส่วนช่างเจียระไนอัญมณีในยุคเดียวกันนั้นกล่าวว่า แซฟไฟร์ทำให้คนโง่เป็นคนฉลาด ทำให้คนที่ฉุนเฉียวง่ายเปลี่ยนเป็นคนอารมณ์ดีและเป็นยังเป็นอัญมณีที่นำความสงบสุขและความรุ่งโรจน์มาสู่ผู้สวมใส่อีกด้วย
ลืมติดตาม รู้จริงเรื่องอัญมณี กับผมได้ใหม่ในบทความหน้านะคับ...
อ่านบทความก่อนหน้า...